หลายท่านคงทราบแล้วว่าปัจจุบันนี้ การขอวีซ่าไม่ได้ไปที่สถานทูตอังกฤษ ที่ชิดลม โดยตรงแล้ว แต่จะเป็นการยื่นเอกสารผ่านตัวแทน (VFS) ที่อาคารรีเจ้นท์เฮาส์ ถนนราชดำริ ดิฉันกับคุณแอ๋วจึงนัดกันไปที่นั่นในวันศุกร์ที่ 20 ส.ค. 53 ไปถึงราว 8 โมงเช้า มีคนอยู่ในแถว 20 กว่าคนแล้ว พอ น. ประตูก็เปิดให้เข้าไปนั่งรอในห้องข้างในได้ ก่อนเข้าไปเราจะต้องรับบัตรคิว ให้เค้าตรวจกระเป๋า และปิดโทรศัพท์เสียก่อน แต่เค้าจะไม่ถึงกับยึดโทรศัพท์ไว้ที่ รปภ.ด้านนอก อย่างเวลาไปขอวีซ่าอเมริกา เพียงแต่ไม่ให้ใช้โทรศัพท์ เพื่อกันสัญญาณรบกวนเท่านั้นค่ะ
เราได้คิวที่ 33 เป็นการยื่นเอกสารพร้อมกัน 2 คนในซองเดียว ต้องรอเกือบ 2 ชั่วโมง ทั้งที่เจ้าหน้าที่เปิดถึง 9 ช่องจากทั้งหมด 10 ช่อง โชคดีที่เอกสารของเราครบทั้ง 2 คน จึงได้รับบัตรคิวอีกครั้งหนึ่ง เพื่อรอไปสแกนลายนิ้วมือทั้ง 10 นิ้ว และถ่ายรูปในห้องถัดไป
นอกเหนือจากค่าธรรมเนียมในการขอวีซ่า 3,536 บาท และค่าธรรมเนียมซื้อเช็คธนาคาร 20 บาท (ต้องยื่นเช็คนี้พร้อมเอกสารอื่น ๆ นะคะ แต่หากว่าท่านใดลืมซื้อ ชั้นล่างของอาคารนั้นมีธนาคารค่ะ ไม่ต้องห่วง แค่เตรียมเงินไปซื้อก็แล้วกัน) เรายังต้องเสียค่า SMS อีกคนละ 75 บาท ไม่บังคับก็ฟังดูคล้าย ๆ เพราะเจ้าหน้าที่พูดทำนองว่าเราควรใช้วิธีให้เค้าส่ง SMS และ e-mail ทั้งหมดราว 6 ครั้งแจ้งเมื่อได้รับการอนุมัติ แทนที่จะคอยเปิดเช็คดูในเวปไซท์เองซึ่งไม่สะดวกเท่า ขนาดเราบอกว่าจะจ่ายแค่คนเดียวก็พอ เพราะผลคงออกมาพร้อมกัน เค้ายังพูดจนเราต้องยอมจ่ายทั้ง 2 คนเลยค่ะ เฮ้อ
เนื่องจากได้ยินมาว่าการขอวีซ่าใช้เวลาประมาณ 5 วันทำการ เรากะว่าก็คงออกตั๋วเครื่องบินในวันเสาร์ถัดไปทันพอดี แต่จนบ่ายวันศุกร์ที่ 27 เราก็ยังไม่ได้ข่าวใด ๆ โทร.ติดต่อกันอยู่กับคุณแอ๋วว่าได้รับ SMS บ้างหรือยัง ก็ได้รับแค่ข้อความเดียวเท่านั้นที่แจ้งว่ารับเรื่องเอาไว้แล้วตั้งแต่วันที่ 20 คิดทางบวกก็เป็นการดีที่เรามีข้อความเหล่านี้เป็นการยืนยันกับทางบริษัทขายตั๋วเครื่องบินได้
ทั้ง ๆ ที่ค่อนข้างมั่นใจว่าวีซ่าเราต้องผ่านแน่นอน เพราะเป็นการยื่นขอแบบธุรกิจ และมีจดหมายเชิญอย่างเป็นทางการไปแสดง แต่ก็ยังอดกังวลไม่ได้ จนในที่สุดวันศุกร์ที่ 3 ก.ย. เราจึงได้รับแจ้งว่าวีซ่าผ่านแล้ว ให้นำเอกสารเข้าไปรับเล่มคืนได้ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป
เวลาสำหรับการรับเล่มคืนคือ น. ที่เดิมคืออาคารรีเจ้นท์เฮาส์ เรารีบนัดกันไปวันนั้นเลย ถึงที่นั่นเกือบ 4 โมงเย็น แต่คนก็ยังแน่นอยู่ ผ่านเข้าไปห้องด้านในโดยรับบัตรคิว ให้เค้าตรวจกระเป๋า และปิดโทรศัพท์ตามเคย ครั้งนี้เราได้คิวที่ 193 เข้าไปข้างในจึงรู้ว่าเพิ่งเรียกถึงคิว 120 เท่านั้น
แค่การไปรับเล่มคืน ก็เลยต้อง รอ ร้อ รอ เนื่องจากเค้าไม่ได้แยกเฉพาะช่องสำหรับรับเล่ม แต่เป็นการรอเจ้าหน้าที่คนเดียวกับพวกที่มายื่นเรื่องตรวจเอกสาร ซึ่งแต่ละคนใช้เวลาค่อนข้างนานกันทั้งนั้น ไม่เข้าใจเหตุผลที่เค้าไม่แยกช่องเหมือนกัน เพราะการรับเล่มคืน แทบไม่ต้องเสียเวลาอะไรเลย เรายื่นใบรับไป เค้าส่งพาสปอร์ตคืนมาก็เสร็จแล้ว (อ้อ เอกสารทั้งหมดที่เรายื่นไป เค้าจะส่งคืนให้พร้อมเล่มพาสปอร์ตด้วยนะคะ) สรุปว่าหลังรับเล่ม โปรแกรมต่าง ๆ ที่เราตั้งใจไว้ว่าจะไปต่อ เช่น ไปหา Agency เพื่อคุยเรื่องตั๋ว Britrail ฯลฯ เป็นอันต้องยกเลิกทั้งหมด
ตามมาอ่านเพื่อทำความเข้าใจกับ Britrail pass ค่ะ
ReplyDelete