Sunday, April 3, 2011

Egypt ตอน 5   ประตูน้ำ

ไม่ได้จะพาไปเที่ยวตลาดประตูน้ำ  หรือ วอเตอร์เกต หรือ เด็กสมัยนี้อาจนึกไปถึง แพลตตินั่มประตูน้ำ แต่อย่างใดนะคะ  แต่อยากจะเล่าถึงประตูกั้นน้ำ Esna Locks ซึ่งเรือจะต้องผ่านจากน้ำระดับหนึ่งไปอีกระดับหนึ่งที่นี่

หลังจากที่เรือจอดเทียบท่าเมือง Luxor อยู่ 2 คืน  สำหรับคืนที่ 3 เราจะไปจอดที่เมือง Edfu  ระหว่างช่วงรับประทานอาหารกลางวัน    เรือก็เริ่มเคลื่อนออก   ห้องอาหารซึ่งอยู่ชั้นล่างสุดจะอยู่ประมาณระดับน้ำ  เราทานอาหารไป มองดูวิว 2 ข้างทางไป  ก็เป็นอีกหนึ่งบรรยากาศที่แตกต่างจากมื้อที่ผ่าน ๆ มา   หลังอาหารบางคนกลับไปพักผ่อนที่ห้อง  บางคนไปนั่งเล่นอยู่ดาดฟ้า  จนช่วงใกล้ค่ำ  ทางเรือประกาศว่าเรากำลังจะผ่านประตูน้ำ Esna  คนก็จะเริ่มขึ้นมาบนดาดฟ้ากันมากขึ้น   

สำหรับตัวดิฉันเอง  ขึ้นมารออยู่พักใหญ่แล้ว  เพราะได้รับคำแนะนำจากคนที่เคยมาว่าเป็นประสบการณ์หนึ่งที่ควรจะได้เห็น  บางคนอาจเคยเห็นมาแล้วจากประเทศอื่น   แต่ดิฉันไม่แน่ใจว่าที่อื่นนั้นจะมีการขายของที่ท้าทายแบบที่อียิปต์นี่หรือเปล่า

เรือ 2 ลำที่มาจอดขายของอยู่ข้าง ๆ เรือเรา

ดิฉันเริ่มเห็นเรือเล็ก ๆ ทีละลำ 2 ลำ จากความสูงที่เรายืนอยู่  เรือพวกนั้นขนาดประมาณเรือแจวของไทยเราเท่านั้นเอง  มีคนอยู่ในเรือนั้นลำละ 2 คน  และพยายามพายเข้ามาใกล้ ๆ เรือของเรา  ตอนนั้นยังนึกเป็นห่วงว่าเค้าจะเป็นอันตรายจากแนวคลื่นที่เกิดจากเรือเราหรือเปล่า   เมื่อดิฉันได้ยินเสียงประกาศ  ก็เลยมองไปทางด้านหัวเรือ  เห็นว่าเราเริ่มเข้าใกล้บริเวณประตูน้ำไปทุกที  เรือเล็ก ๆ เหล่านี้ก็เริ่มมากขึ้น ๆ   จนถึงตอนที่เรือเราต้องหยุดเพื่อคอยคิวเข้าไปในช่องปรับระดับน้ำครั้งละ 2 ลำ  ดิฉันเริ่มตกใจกับเสียงโหวกเหวกที่ดังมาจากเรือเล็ก ๆ เหล่านั้น   พอก้มลงไปมองก็เห็นพ่อค้ากำลังชูสินค้ากันสลอนเลยค่ะ  สินค้าแต่ละลำจะคล้าย ๆ กัน คือพวกเสื้อผ้า ผ้าพันคอ ผ้าห่ม ฯลฯ  แต่จะมีสีสันต่างกันไป  เค้าเชิญชวนให้เราซื้อ  ถ้าเป็นเสื้อผ้าก็จะตะโกนถามว่า What size?  เสร็จแล้วก็จับม้วนใส่ถุงพลาสติก  มัดปากถุง  แล้วโยนขึ้นมาบนเรือ  ท่ามกลางเสียงวี๊ดว๊ายของพวกเราข้างบน  เพราะคนที่โยนขึ้นมาไม่ถึงชั้น 4  ของก็จะร่วงลงน้ำไป  บางคนโยนได้ถึง  แต่ก็หวิดจะตกลงไปในสระน้ำบ้าง  ตื่นเต้น และตื่นตาตื่นใจมากค่ะ  ยังสงสัยไม่หายว่าเค้าขายได้บ้างไหม หรือโดนโกงไม๊   เพราะเท่าที่เห็น  มีคนหยิบมากางดูแล้วก็โยนกลับคืนลงไป  แต่หากว่าเค้าอยากช่วยซื้อล่ะ  ต้องเอาเงินใส่ถุงโยนลงไปให้เหรอ  ถ้าเป็นเหรียญอาจพอได้  แต่ถ้าเป็นแบงค์มันคงปลิวไปไหนก็ไม่รู้นะ


ฟ้าเริ่มมืดค่ะเมื่อถึงคิวของเรือเรา  แต่จะมีไฟสปอตไลท์ส่องสว่างจากหน้าเรืออยู่  ไม่ทราบว่าปรกติจะมีเรือมาต่อคิวยาวขนาดไหน  แต่วันนั้นเราไม่ต้องรอนานมากเลย  เรือของเราได้เข้าเป็นลำที่ 2  ก็เลยได้เห็นภาพที่ลำแรกค่อย ๆ เข้าไปในซองที่ไม่ได้กว้างใหญ่กว่าเรือมากมายนัก  และพอเรือเราเข้าไปเรียบร้อย  เค้าก็จะปิดประตู  และค่อย ๆ เพิ่มระดับน้ำขึ้นเรื่อย ๆ  พอเท่ากับระดับน้ำฝั่งด้านหน้าเราแล้ว  ประตูหน้าก็จะเปิดให้เรือลำแรกเคลื่อนตัวออกไป 


เรือของเรากำลังจะตามเรือลำแรกเข้าไปในประตูน้ำ
สังเกตได้ว่าระดับน้ำตอนนี้  ดาดฟ้าเรือจะอยู่แนวถนน


ระดับน้ำจะสูงขึ้นเรื่อย ๆ จากน้ำที่ถูกปล่อยเข้ามา
ความสูงของเรือจึงเริ่มสูงกว่าถนนแล้ว

แล้วก็ได้เวลาที่เราจะลงไปรับประทานอาหารเย็นกันเสียที  ซึ่งมื้อนี้คงจะคิวยาวหน่อยเนื่องจากทุกคนอยู่ในเรือกันครบแล้ว  ผิดกับอาหารเช้า หรือกลางวันมื้ออื่น ๆ ที่ไปไม่ค่อยพร้อมกัน 
Bon Appetit ค่ะ

Monday, March 21, 2011

Egypt ตอน 1  อารัมภบท

มีใครเห็นด้วยกับดิฉันบ้างคะว่า  เวลาที่เราไปเที่ยว  กลุ่มเพื่อนที่ไปด้วยกันเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้ trip นั้นสนุกหรือไม่สนุก 

อย่างที่เคยเล่าว่าส่วนใหญ่ดิฉันมักไปเที่ยวกับทัวร์  แต่เท่าที่พบมาถ้าเป็นคณะที่ต่างวัย ต่างฐานะกันมาก  การปฏิสัมพันธ์ในคณะมักจะไม่ค่อยมี  ต่างคนต่างคุยกันในกลุ่มของตัวเอง  ทักทายกันเล็กน้อยหากต้องนั่งโต๊ะทานอาหารด้วยกัน   ยิ่งเป็นโต๊ะจีน หรืออาหารไทยที่จัดมาเป็นชุดให้ทานร่วมกัน   ก็รู้สึกอึดอัดขัดเขินกับการที่บางท่านไม่นิยมใช้ช้อนกลาง  แต่ใช้ตะเกียบหรือช้อนส่วนตัวที่เพิ่งตักอาหารเข้าปากมาตักกับข้าว   ซึ่งถ้าเป็นอาหารบุฟเฟต์ หรือ set อาหารฝรั่ง ก็ตัดปัญหานี้ไปได้  แต่ส่วนใหญ่มักไม่ใช่ 

แถมบาง trip จะมีคนที่ชอบมาขึ้นรถสายกว่าคนอื่นเป็นประจำ  ไม่ว่าจะนัดเช้า นัดบ่าย  คนที่คอยในรถอุตส่าห์ปรบมือ (ประชด) ให้ก็แล้ว  พี่แกก็ยังจะรักษาตำแหน่งนี้อยู่   ไปเที่ยวกับคนแปลกหน้าแบบนี้  กว่าจะทำความรู้จักสนิทสนมกัน  ก็ถึงเวลากลับพอดี  บางทีขอเบอร์โทร. ขอที่อยู่กันไว้ 
คราวหน้าจะไปเที่ยวไหนชวนกันด้วยน๊า
แต่น้อยคนนักที่จะติดต่อกันตามที่ตั้งใจไว้แต่แรกนะคะ   ดิฉันคนหนึ่งละที่เป็นแบบนี้  จนเที่ยวหลัง ๆ นี่  เลิกขอเบอร์กันแล้วค่ะ

แต่สำหรับการไปอียิปต์คราวนี้  เป็นการรวมตัวของกลุ่มสมาชิกสโมสรโรตารีที่รู้จักกันอยู่แล้ว  เป็นอันหมดห่วงกับเรื่องเหล่านั้นไปได้  บางคนชวนคู่ครอง หรือพี่น้องมาด้วย   ยังไม่ทันขึ้นเครื่องบินเลยก็รู้จักกันหมดแล้ว  เลยไม่มีปัญหาตลอดการเดินทางค่ะ  หนักนิดเบาหน่อยเราก็ให้อภัยกันได้

พวกเราไปกันทั้งหมด 18 คน เป็นคู่ซะ 5 คู่   ส่วนดิฉันเองไปคนเดียว  ได้รู้จักรูมเมทเอาที่สนามบินนั่นแหละค่ะ  แต่ก็เข้ากันได้ดี  เพราะวัยห่างกันไม่กี่เดือน

การเดินทางครั้งนี้ใช้เวลาไม่มากไม่น้อยเกินไป  ออกเดินทางคืนวันพุธที่ 8 ธันวาคม 2553  แต่จะนับเป็นวันที่ 9 ก็ไม่ผิดนะคะ  เพราะเครื่องบินออกตอน น.  เดินทางกลับถึงกรุงเทพวันพุธที่ 15 ธ.ค. ตอนเที่ยงวัน  รวมแล้วก็หนึ่งสัปดาห์เต็ม ๆ   ค่าใช้จ่ายทั้งหมด 65,900 บาทค่ะ



ส่วนหนึ่งของคณะเรา ถ่ายที่สนามบินสุวรรณภูมิค่ะ  ไม่อยากนับอายุรวมกันเลย เพราะ 50+ กันทุกคน
 
สถานที่ท่องเที่ยวครอบคลุมตั้งแต่ทิศเหนือสุดจรดใต้สุด   นอนในเรือ 4 คืน  ในรถไฟ 1 คืน  และคืนสุดท้าย ที่โรงแรมหรูใน Cairo  (ซึ่งไม่ต้องบอกก็คงรู้กันว่าหลับสบายที่สุดในทริปนี้)  จะนับว่านอนในเครื่องบินด้วย 2 คืนก็ได้ค่ะ  เพราะใช้เวลาอยู่ใน EgyptAir ถึงเที่ยวละ 9 ชั่วโมงเลยทีเดียว

แต่จัดว่าเราค่อนข้างโชคดีในการไปเที่ยวประเทศอียิปต์ครั้งนี้  เพราะหากเราเลื่อนมาเป็นเดือนถัดมา  ก็คงได้ไปร่วมเป็นส่วนหนึ่งในประวัติศาสตร์การขับไล่ผู้นำของอียิปต์กับเค้าด้วย  
ในระหว่างที่เราอยู่ที่โน่น  ตอนเราอยู่ Aswan และจะต้องนั่งรถข้ามทะเลทรายประมาณ 3 ชั่วโมงเพื่อไปเมือง Abu Simbel นั้น  ก็เกิด Sandstorm จนเราต้องเลื่อนกำหนดเดินทางออกไปราว 6 ชั่วโมงเพราะทางปิด    ในขณะเดียวกันก็ได้ข่าวว่าที่เมือง Alexandria ฝนตกหนักมาก  ซึ่งยังเหลือร่องรอยของน้ำท่วมขังในบางแห่งเมื่อเราไปถึง  แถมคลื่นลูกใหญ่ที่ซัดเข้าหาฝั่งอันยาวเหยียดของเมืองนั้น  ก็ยังทำให้เก้าอี้ที่ทำด้วยหินแท่งใหญ่ ๆ ล้มระเนระนาด  แต่โชคดีของเราที่ท้องฟ้าแจ่มใสในวันที่ไปถึง

อากาศทั่วไปในขณะนั้นเย็นสบายถึงค่อนข้างหนาว  แต่ด้วยความที่แดดแรง  เวลาเดินกลางแจ้ง  ถ้าไม่ใส่หมวก  ก็ต้องกางร่ม  แถมลมก็แรงมาก  หมวกจึงควรเป็นแบบมีเชือกผูกใต้คาง  ไม่งั้นคงได้วิ่งไล่จับหมวกกันสนุกสนาน  ถ้าใช้ร่มก็ต้องอย่างแข็งแรงหน่อยนะคะ  เป็นแบบท่อนเดียวคล้ายไม้เท้าจะดีกว่าแบบพับได้ 2 ท่อน 3 ท่อน  เพราะลมพัดหักแน่ค่ะ   และกับการกระทบร้อนกระทบหนาวแบบนี้  ทำให้หลายคนไม่สบายค่ะ  ขนาดดิฉันเองไปเที่ยวไหนไม่เคยป่วยเลย  ครั้งนี้ต้องป่วยเป็นเพื่อนคนอื่น ๆ หน่อย  คือท้องเสียค่ะ  ไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะฝุ่นมากมายทั่วประเทศที่อาจอยู่ในอาหาร  หรือเพราะ Cheese และนมเปรี้ยวที่ดิฉัน enjoy อย่างมากนั้นกันแน่   เห็นเค้าบอกว่าบางคนที่ยังไม่ชินอาจทำให้ท้องเสียได้

สกุลเงินของอียิปต์คือ ปอนด์ ค่ะ  แต่ไม่มีเงินสกุลนี้ให้แลกในประเทศไทย   ตอนแรกดิฉันก็งงว่าทำไมเค้าใช้เงินอังกฤษ  เพราะเห็นประเทศต่าง ๆ มักจะเรียกเป็น ดอลลาร์ กัน  เช่น ฮ่องกงดอลลาร์  สิงคโปร์ดอลลาร์ ฯลฯ  ไปถึงจึงได้รู้ว่าคือ Egyptian Pound  เราต้องนำอเมริกันดอลลาร์ไปแลกที่สนามบิน  ในอัตราประมาณ 1 US$ ต่อ 7 ปอนด์   แลกมาแล้วก็ต้องใช้ให้หมด  เอากลับมาเมืองไทยก็ไม่มีค่าอะไร  นอกจากจะเป็นคนที่ชอบเก็บสะสมนะคะ  ดิฉันเองก็ยังเก็บเหรียญเป็นที่ระลึกไว้บ้าง 4 – 5 อันค่ะ
Egypt ตอน 2  ออกเดินทาง

เวลานัดพบที่สนามบินสุวรรณภูมิคือ 4 ทุ่ม  ทำให้ดิฉันมีเวลาพอที่จะเข้าร่วมประชุมกับสโมสรโรตารีกรุงเทพสุวรรณภูมิ ตามปรกติได้ก่อน  เพราะสถานที่ประชุมซึ่งอยู่อาคารรีเจ้นท์ศรีนครินทร์  ไม่ไกลจากสนามบินมากนัก  ดิฉันจึงจัดกระเป๋าเตรียมไปด้วยเลย

ไฟลท์ MS 961  ออกเดินทางเวลา น.  สะดวกสบายพอสมควร  แต่ในเครื่องบินยังไม่มีจอทีวีส่วนตัวให้เลือกดูโปรแกรมเองได้  ซึ่งก็ไม่เป็นปัญหาเท่าไร   ดิฉันน่าจะใช้เวลานั้นในการพักผ่อนมากกว่า  เพราะเมื่อเราไปถึงกรุงไคโร ในตอนเช้ามืด  ก็จะต้องต่อเครื่องบินภายในประเทศไปเมืองลุกซอร์กันต่อ

อาหารมื้อดึก เสิร์ฟเมื่อขึ้นเครื่อง   สังเกตว่าเดี๋ยวนี้หลายสายการบิน
จะกลับมาใช้ช้อนส้อม silverware กันตามปรกติแล้ว  หลังจากที่
หันมาใช้พลาสติกแทน  หลังเหตุการณ์ 11 ก.ย.ที่อเมริกา

ส่วนถาดนี้เป็น Breakfast ค่ะ

ที่สนามบินนานาชาติกรุงไคโร  มีเครื่องตรวจอุณหภูมิร่างกายในระหว่างทางที่เราเดินมาที่แผนกตรวจคนเข้าเมืองด้วย  ตอนแรกก็ไม่ทราบ  แต่เห็นมีคนจีนที่ติดอยู่  พยายามมองหาหัวหน้าทัวร์ของตนเองไปช่วยเจรจา

สนามบินไคโร  ระหว่างที่เดินไปต่อเครื่องภายในประเทศ

เราใช้เวลาอยู่ที่สนามบินจนถึง น. ซึ่งเป็นเวลาที่จะต้องต่อเครื่อง  ระหว่างนั้นก็รอลุ้นว่าการทำ Visa จะเสร็จทันไหม  ทั้งที่ก่อนหน้านั้นหลายคนในกรุ๊ปของเราได้ส่งพาสปอร์ตไปให้ทำวีซ่าล่วงหน้าแล้ว  แต่ทางไกด์แจ้งว่าค่อยมาทำที่ไคโร ตอนเข้าประเทศพร้อม ๆ กันทั้งกรุ๊ปเลย  พวกเราจึงฆ่าเวลาด้วยการคุยกันไปเรื่อยๆ บางคนไปแลกเงินที่ช่อง Money Exchange ของธนาคาร  ด้วย US Dollars ที่เตรียมไป  ขอแลกเงินปลีกจนเหรียญเค้าหมด  พูดกันก็ไม่ค่อยรู้เรื่อง  เกือบแปลอาการบอกเล่าของเจ้าหน้าที่ธนาคารเป็นการโวยวายดุพวกเราซะแล้ว  ด้วยหน้าตาท่าทางและเสียงดังที่ทำให้เราเดาไปเช่นนั้นนะคะ จนในที่สุดเค้ายกกล่องเปล่าๆ ให้ดู  เราจึงถึงบางอ้อ

ไฟลท์ MS 351 นำพวกเราไปถึงสนามบินเมืองลุกซอร์เวลา น. ตามเวลาอียิปต์  ซึ่งช้ากว่่าประเทศไทยราว 5 ชั่วโมง)


ต้องขึ้นรถบัสไปที่เครื่องบิน ด้วยระยะทางไกลพอควร














เครื่องบิน Egypt Air Express ขนาดจุ 170 คน

บรรยากาศภายในเครื่องบิน

ที่สนามบินเมือง Luxor













Sunday, March 20, 2011

Egypt ตอน 3  เที่ยว Luxor

ชื่อเมืองนี้บางคนเรียก ลุกซอร์ แต่บางคนก็เรียก ลักซอร์  สำหรับดิฉันเองเวลาได้ยินคำนี้มักจะนึกถึงโรงแรมระดับ 5 ดาวใน Las Vegas ที่สหรัฐอเมริกา  หลายท่านคงร้อง อ๋อ  โรงแรมที่รูปร่างเหมือนกับปิรามิด และมีตัวสฟิงซ์อยู่ด้านหน้า นั่นเอง

พอลงจากเครื่องบิน  เราก็เริ่มเที่ยวกันเลยค่ะ  โดยจะมีรถอีกคันหนึ่งขนกระเป๋าไปที่โรงแรม  ส่วนพวกเราก็จะนั่งรถอีกคันหนึ่งไป  แต่ก่อนหน้านั้น  เราต่างคนต่างต้องลากกระเป๋าไปที่รถกันเอง  บางคนหลงกล หรืออาจเพราะตั้งใจซื้อความสบาย  ก็จะให้พวกแรงงานที่ยื่นมือมาช่วยยกกระเป๋าเป็นคนถือไปให้  พร้อมกับแบมือขอเงินเมื่อไปถึงรถ  ส่วนดิฉันเองปฏิเสธทุกคนที่ยื่นมือมาช่วย  เพราะมองเห็นรถอยู่ไม่ไกลนัก  แถมกระเป๋าขามาก็ไม่ได้หนักอะไร  ถือว่ายังไม่เสียรู้ค่ะ  แต่ถ้าอ่านต่อ ๆ ไปจะรู้ว่าพวกเราหลายคน โดนจนได้  ที่ต้องควักกระเป๋าจ่ายเงินให้แบบงง ๆ ค่ะ

สำหรับเมืองลุกซอร์นั้น  ได้ชื่อว่าเป็น นครแห่งความตาย (The City of the Dead)  เพราะเป็นสถานที่ฝังศพของเหล่าฟาโรห์ ราชินี และขุนนางมากมาย  ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของกรุงไคโรราว 650 กิโลเมตร   ในสมัยโบราณเรียกกันว่า ธีบส์ (Thebes)  เมืองนี้จัดเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ

สถานที่แรกในประเทศอียิปต์ที่พวกเราไป อยู่ทางฝั่งตะวันออกของแม่น้ำไนล์ (East Bank) คือ Karnak Temple  หรือมหาวิหารคาร์นัค  เป็นวิหารโบราณที่ใหญ่ที่สุดในโลก  ตัววิหารหลังเดียวมีเนื้อที่ถึง 60 เอเคอร์ ซึ่งใหญ่พอที่จะนำโบสถ์ขนาดใหญ่ของยุโรปไปวางได้ถึง 10 หลัง  เริ่มก่อสร้างเมื่อเกือบ 4,000 ปีมาแล้ว  เพื่อถวายแด่เทพเจ้าอามอนรา  จัดว่าเป็นวิหารที่สวยงามที่สุดในอียิปต์   เราได้มีโอกาสไปชมห้องเสา หรือ Hypostyle Hall ซึ่งประกอบด้วยเสาสูง 134 ต้น  แต่ละต้นสูง 23 เมตร  เส้นรอบวง 10 เมตร  เรียงกัน 4 แถว  สลักด้วยอักษรภาพฮีโรกริฟฟิกที่แสดงถึงเรื่องราวช่วงที่อียิปต์ชนะสงครามในสมัยโบราณ 


เสาในห้อง Hypostyle Hall

ที่ Karnak Temple

ค่าเข้าชมวิหารนี้คนละ 65 L.E. (Local Egypt Pound)  แต่ในช่วงกลางคืนพวกเราได้กลับไปที่นั่นอีกครั้งหนึ่งเพื่อชม Sound & Light Spectaculars (ปรกติเมืองไทยเรามักเรียกกันว่า ไลท์แอนด์ซาวด์ ใช่ไหมคะ)  ซึ่งเป็นโปรแกรมนอกเหนือรายการ  เราจึงจ่ายเพิ่มกันคนละ 48 U.S.$  แต่ก็ไปกันทุกคนค่ะ  ลงเรือลำเดียวกันแล้วนี่นา 


เป็นอีกบรรยากาศหนึ่งต่างไปจากที่เราเห็นในตอนกลางวัน  แต่ด้วยคำอธิบายที่เป็นภาษาอังกฤษ  ทำให้พวกเราไม่ค่อยอินกันสักเท่าไร  (ก็ไม่ใช่ประวัติศาสตร์ชาติไทยเรานี่  เลยไม่ค่อยมีอารมณ์ร่วม)  ที่รู้แน่ ๆ ก็คือ หนาวมากค่ะ  เพราะเราต้องอยู่กลางแจ้งตลอด  (เมื่อตอนกลางวันก็ร้อนจนต้องคอยหลบเข้าร่มเวลาฟังไกด์อธิบาย  เพราะไม่อยากได้ฝ้าเป็นของแถมกลับเมืองไทยด้วยค่ะ)   โชว์เริ่มประมาณทุ่มหนึ่ง  ทุกคนจะไปยืนรออยู่ตรงทางเข้าซึ่งมีรั้วกั้นไว้อยู่  มืดจนมองกันแทบไม่เห็น  บางคนมีไฟฉายติดตัวไปก็เอามาส่องไฟเผื่อเพื่อนฝูงในกลุ่ม  พอได้เวลาก็เริ่มมีไฟเปิดขึ้นเป็นแห่ง ๆ  มีเพลงประกอบ  และเริ่มมีคำอธิบาย  แล้วก็เปิดทางให้ผู้ชมได้เดินกันไปเรื่อย ๆ  หยุดเป็นช่วง ๆ เพื่ออธิบาย  ไปสิ้นสุดที่อัฒจรรย์ริมทะเลสาบ  แล้วจบเรื่องเล่าของวิหารคาร์นักที่นี่  รวม ๆ แล้วประมาณเกือบชั่วโมง

ช่วงบ่ายวันแรก  เราไปเที่ยวอีกแห่งคือ Luxor Temple  ซึ่งตั้งอยู่ทางใต้ของวิหารคาร์นัค  มีขนาดเล็กกว่า  แต่มีวัตถุประสงค์ในการสร้างเหมือนกันคือเพื่อเป็นสถานที่บวงสรวงเทพเจ้า   เป็นวิหารที่สร้างจากหินทรายเนื้อละเอียดที่ใหญ่มาก   มีรูปสลักหินแกรนิตขนาดมหึมาสลักเป็นรูปฟาโรห์รามเสสที่ 2 และราชินีเนเฟอติติ    ค่าบัตรเข้าชมของที่นี่คนละ 50 L.E.ค่ะ








เราเดินอยู่ Luxor Temple จนได้เวลาไปดู Sound & Light ที่ Karnak ต่อ   โปรดสังเกตพระจันทร์เสี้ยวที่ตั้งใจถ่ายมานะคะ






















วันที่สองในอียิปต์  เราไปแถบ West Bank หรือเมืองทางฝั่งตะวันตกของแม่น้ำไนล์   โดยไปที่หุบผากษัตริย์ (Valley of the Kings)  ซึ่งเป็นสถานที่ฝังศพของฟาโรห์ 63 พระองค์  แยกตามสุสานต่าง ๆ ในบริเวณหุบผาของหน้าผาธีบัน  แต่ละสุสานใช้การขุดเจาะภูเขาเข้าไป  ที่นี่ไกด์ของเราห้ามนำกล้องถ่ายรูปติดตัวไป  ให้ทิ้งไว้ในรถค่ะ เลยไม่มีรูปมาให้ดูกัน  และสำหรับบางสุสาน จะต้องเสียค่าเข้าชมต่างหาก  นอกเหนือจากค่าเข้าจากประตูด้านหน้า คนละ 80 L.E. แล้ว เช่นสุสานของฟาโรห์ตุตันคามุน  แต่มีคนที่เคยไปมาแล้วแนะนำว่าไม่ต้องดูก็ได้  เพราะคิวก็ยาว  เวลาเราก็มีไม่มากนัก  เหมาะกับคนที่สนใจประวัติศาสตร์จริง ๆ ค่อยยอมเสียตังค์ไปดูนะ

ออกจากที่นั่น  ทัวร์แวะให้เราชมโรงงาน Alabaster  ผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ที่ทำจากหินปูน  เช่น ชุดเหยือก และแก้วไวน์  แจกัน  และของตั้งโชว์ที่แสดงความเป็นอียิปต์

แสดงวิธีทำแจกันหิน Alabaster


วิธีสังเกตว่าเป็นหินปูน Alabaster แท้หรือไม่  คือเมื่อนำไปส่องกับหลอดไฟ  จะไม่ทึบแสง

สถานที่เที่ยวถัดไปคือ วิหารฮัทเชฟสุต  (Hatshepsut Temple) ซึ่งเป็นที่ประดิษฐานพระศพของ ฮัทเชฟสุต  ฟาโรห์หญิงองค์เดียวในประวัติศาสตร์อียิปต์  หรือที่รู้จักกันในนาม ราชินีมีเครา  ในยุคสมัยของพระองค์  อียิปต์รุ่งเรือง และร่ำรวยมาก  เพราะพระองค์ทรงพระปรีชาสามารถทั้งทางด้านศิลปะ พาณิชย์ และการต่างประเทศ

ด้วยระยะทางที่ค่อนข้างไกล และโล่งแจ้ง  แดดจัดมาก
เค้าจึงมีบริการรถลากไปส่งให้





ตามสถานที่ท่องเที่ยวจะมีเด็ก ๆ มาทัศนศึกษากันมาก
บางกลุ่มจะขอเข้ามาถ่ายรูปกับพวกเราด้วย

และสุดท้ายในวันที่สองของการเดินทางคือ อนุสาวรีย์แห่งเมมนอน (Colossi of Memnon)  เดิมเป็นสุสานของฟาโรห์อาเมนโฮเทปที่ 3  แต่เนื่องจากการเกิดแผ่นดินไหวอย่างรุนแรง  ปัจจุบันจึงเหลือเพียงรูปสลักหินทรายเป็นรูปนกยักษ์ขนาดสูง 20 เมตร 2 ตัวเท่านั้น

Saturday, March 19, 2011

Egypt ตอน 4    Nile Cruise







ห้องพักในเรือ  ใหญ่ขนาดห้องในโรงแรมทั่วไปเลยค่ะ
ค่อยเหมาะกับการต้องอยู่ถึง 4 คืนหน่อย
และแต่ละวันก็จะมีพนักงานมาทำห้องให้ด้วยค่ะ

อย่างที่เล่าในตอนแรกว่าทริปนี้เราพักในเรือกันถึง 4 คืน  ลำที่เป็นทั้งโรงแรม และยานพาหนะของพวกเราชื่อ Nile Style  เป็นเรือใหญ่ขนาด 4 ชั้น ไม่นับรวมดาดฟ้า  เราพักห้องระดับ Deluxe อยู่ห้องละ 2 คน  มีห้องน้ำในตัว  มีหน้าต่างให้ชมวิวภายนอกได้  แต่ไม่มีระเบียงให้ออกไป  ซึ่งก็ไม่จำเป็นเพราะหากเราอยากได้บรรยากาศนั้น  เราจะไปนั่งเล่นที่ดาดฟ้ากัน  แถมในช่วงบ่ายยังมีชา กาแฟ และของว่างเสิร์ฟให้ด้วย

บรรยากาศการจิบน้ำชายามบ่าย บนดาดฟ้าเรือ Nile Style

ห้องพักของดิฉันอยู่ชั้น 3 (ห้อง 316)   ทางเข้ามาที่ Lobby รวมทั้ง Bar เครื่องดื่มอยู่ชั้น 2   ส่วนห้องรับประทานอาหารอยู่ชั้น 1  ซึ่งส่วนใหญ่เราจะฝากท้องกันไว้ที่นี่แหละค่ะ ทั้งเช้า กลางวัน เย็น  คือพอรับประทานอาหารเช้าเสร็จ ก็ออกไปเที่ยว  กลับมาทานอาหารกลางวัน  พักผ่อนกันสักครู่ก็ออกไปเที่ยวต่อ  แล้วกลับมาทานอาหารเย็น  หลังจากนั้นก็เป็นการพักผ่อนตามอัธยาศัย  แต่ทางเรือก็จะมีโปรแกรมมาแสดงเพื่อไม่ให้เราเบื่อ  เช่น วันแรกเป็นการแนะนำพนักงานในเรือ พร้อมทั้งเลี้ยง Cocktail วันต่อมาเป็น Egypt Night  มีการแสดงต่าง ๆ เช่น ระบำหน้าท้อง (Belly Dance) และเชิญชวนให้แขกออกไปร่วมสนุกสนานกันด้วย  เป็นต้น


พวกเรานึกสนุก  ชักชวนกันแต่งชุดอียิปต์  โดยอุดหนุนจากร้านค้าในเรือนั่นเอง

เรือจะไม่วิ่งในช่วงกลางคืน  โดยจะจอดที่เมืองใดเมืองหนึ่ง  แล้วค่อยออกเดินทางต่อในช่วงเช้า  ทำให้เราสามารถเปิดโทรทัศน์ดูได้  แต่ก็มีรายการไม่กี่ช่องนัก  ฟังก็ไม่รู้เรื่อง เพราะจำได้ว่าไม่มีช่องที่พูดภาษาอังกฤษเลย

เรือที่วิ่งในแม่น้ำไนล์ขึ้นล่องระหว่าง Luxor กับ Aswan นั้นมีมากมาย  ทั้งมองจากด้านนอก และการตกแต่งภายใน สวยงามมากน้อยต่างกัน    ตอนแรกเราก็กิ๊วก๊าวกับเรือของเรามากแล้ว  แต่เมื่อไปจอดตามท่านั้น  เวลาจะขึ้นฝั่ง  หากเรือเราไม่ได้อยู่เป็นลำแรก  พวกเราก็จะต้องเดินผ่านเรือลำอื่น ๆ ไป  จึงเป็นโอกาสให้ได้เกิดการเปรียบเทียบ  ซึ่งส่วนใหญ่จะออกไปในทางที่เห็นว่าลำอื่นสวยกว่าเราซะมากกว่า  ก็เป็นธรรมดาของคนนะคะ  


สำหรับ Facility ต่าง ๆ ที่เค้าโฆษณาไว้ว่ามีในเรือนั้น  ก็มีพอให้ได้ชื่อว่ามีแหละค่ะ  เช่น สระว่ายน้ำ  อุปกรณ์ออกกำลังกาย  ห้องอ่านหนังสือ และเล่นเกมส์เล็ก ๆ น้อย ๆ   บาร์เครื่องดื่ม (จ่ายต่างหาก  นอกจากน้ำชายามบ่าย)   อ้อ มีเตียงแบบนวดน้ำมัน  2 เตียงด้วย  ซึ่งก็มีคุณหมอนวดชายคนหนึ่งถือแฟ้มมาโฆษณากับพวกเราสาว ๆ ที่นั่งคุยกันอยู่ 4 – 5 คนว่ามีนวดอะไรบ้าง  ราคาเท่าไร  และสรุปท้ายว่า 
“You don’t worry, I am gay.”  
ถึงกระนั้นก็ตาม  พวกเราก็ไม่มีใครสนใจบริการนี้  แต่เห็นมีสาวฝรั่งเข้าไปเป็นลูกค้าอยู่เหมือนกันค่ะ 

อีกอาชีพหนึ่งบนเรือคือ การถ่ายวิดีโอ   ซึ่งจะเห็นเด็กหนุ่ม ๆ คนหนึ่งคอยถ่ายลูกค้าในเรือตามมุมโน้นมุมนี้อยู่  พอดีกับว่าจอคอมพิวเตอร์ซึ่งเค้าฉายภาพตัวอย่างที่ถ่าย ๆ มานั้นตั้งอยู่ตรงทางเดินไปห้องพักของดิฉัน  ก็เลยพูดคุยสอบถามดู  ทราบว่าไม่ใช่ตากล้องของโรงแรม  แต่เป็นนักศึกษาที่มาหารายได้พิเศษ  โดยต้องเสียค่า......    เรียกสัมปทานก็คงได้มั๊งคะ  ให้กับเรืออีกด้วย   เค้าขายชุดละ 20 US $ มีทั้งหมด 4 แผ่นคือ  DVD ภาพเคลื่อนไหวต่าง ๆ ที่เค้าตามถ่ายพวกเรา  มีแผ่น CD เพลงอียิปต์ 1 แผ่น  แผ่น CD ภาพต่าง ๆ ของสถานที่ท่องเที่ยวที่เราไปมาทั้งหมด  และแผ่น CD ประวัติศาสตร์อียิปต์ด้วย   อืม..น่าสนใจ  ก็เลยลงชื่อสั่งจองเค้าไว้  และบอกว่าจะชวนเพื่อน ๆ มาช่วยซื้อด้วย  แต่จนถึงวันก่อนสุดท้ายของการเดินทาง  ดิฉันก็ยังเห็นในกระดาษใบสั่งจองมีเฉพาะลูกค้า From Thailand อยู่ 5 ราย (จากการขายของดิฉัน) เท่านั้น   น่าสงสัยว่าทริปอื่น ๆ เค้าจะขายได้สักกี่แผ่นนะ  ไม่เห็นมีการประชาสัมพันธ์จากทางโรงแรม  แม้แต่จากเจ้าตัวคนถ่ายเอง  เพราะถ้าดิฉันไม่เป็นคนเดินเข้าไปถาม  ก็คงไม่รู้เหมือนกันว่าเค้าถ่ายไปขายที่ไหน  แต่ก็หงุดหงิดกับอีตาคนนี้เหมือนกันนะคะที่พี่แกสูบบุหรี่ตลอดเวลาจนทำให้ดิฉันเกือบไม่สบาย  เพราะกลิ่นบุหรี่จะลอดเข้าประตูห้องจนเหม็นไปหมด  ตอนเดินผ่านเข้าออกก็ยิ่งหนัก  แถมเวลาออกไปเที่ยวก็จะเจอฝุ่นมากพออยู่แล้ว  จึงเท่ากับเจอ Pollution ทั้งวันเลยค่ะ